อานนท์! พวกเธอทั้งหลาย
จงมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ
อย่าเอาสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย.
จงมีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ
อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย.
อานนท์! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว
แก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น
จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
ภิกษุ ท ! ตถาคต เป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์,แม้พวกเธอทั้งหลาย ก็ พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์.
ภิกษุ ท ! พวกเธอทั้งหลาย จงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์สุขแก่คนจำนวนมาก เพื่อความเอ็นดูแก่โลก,เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุข ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. อย่าไปทางเดียวกันถึง๒รูป.
๑. สันทัสสนา อธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือนจูงมือไปดูเห็นกับตา
๒. สมาทปนา จูงใจให้เห็นจริงด้วย ชวนให้คล้อยตาม จนต้องยอมรับและนำไปปฏิบัติ
๓. สมุตเตชนา เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกำลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จได้ ไม่หวั่นระย่อต่อความเหนื่อยยาก
๔. สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วยความหวัง เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่จะได้รับจากการปฏิบัติ
พระพุทธ(จิตพุทธะ) พระธรรม(ปัญญารู้แจ้ง) พระสงฆ์(ประพฤติปฏิบัติ)
....อย่ากลัวกังวลหวั่นไหว...
แม้สิ่งใดจะล่วงไปก็ไม่สามารถกั้นให้ความจริงอันสูงสุดที่มีอยู่นั้นเสื่อมหรืออันตธานหายไปได้ ไม่ว่าจะปรากฏ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปก็ตาม
ไม่พบ ใช่ว่า ไม่มี
ตราบใดที่สิ่งนั้นยังเกิด ธรรมชาติสภาวะพุทธะนั้นย่อมเกิดแล้ว ใช้ความเพียรเพื่อตื่นรู้ ย่อมเข้าถึงนิพพานได้
เรามักจะ"รุงรัง"ด้วย "เรื่องจริงที่ไม่มีประโยชน์"
....สงบ เย็น..และเป็นประโยชน์...
"ทิ้งหมดตลอดสาย นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้"
บ้านที่ว่างเปล่า โจรจะเข้ามาสักกี่ครั้ง บ้านก็ไม่มีอะไรจะเสีย และเขาก็ไม่ได้อะไรไป